เทศน์เช้า วันที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๕๑
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม(วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธราม จ.ราชบุรี
วันนี้ฝนตกเนาะ ฟังธรรมไง ฝนตกมันชุ่มชื่น แต่เราปฏิบัติ เวลาเขาปฏิบัติกันนะ หน้าหนาวดีที่สุด เพราะหน้าหนาวเวลาอดอาหาร หน้าหนาวอากาศไม่ร้อน ถ้าอากาศร้อนเวลาอดอาหารมันอ่อนเพลียมาก ในการปฏิบัติ เราทำไมต้องปฏิบัติล่ะ? ทำไมต้องทุกข์ต้องยาก?
นี่การขวนขวาย เรามาทำบุญกุศลเราต้องขวนขวายมาใช่ไหม? เราขวนขวายของเราเพื่อผลประโยชน์ของเรา แต่ผลประโยชน์นี่มันอยู่ที่มุมมองของคน เราดูว่าอะไรคือผลประโยชน์ ถ้ามองโลก เห็นไหม การเกิดมาเป็นมนุษย์นี่เป็นอริยทรัพย์ ทรัพย์การเกิดเป็นมนุษย์ประเสริฐที่สุด ประเสริฐที่สุดเพราะอะไร? ประเสริฐที่สุดเพราะมันมีสมอง มันมีความคิด มันมีความคิดนะ เราจะเลือกอะไรก็ได้
ดูสิเวลาเขาอยู่ทางโลกกันเขาจะเลือกสิ่งที่เป็นประโยชน์ก็ได้ สิ่งที่เป็นโทษกับเขาแต่เขาไม่รู้ เขาว่าเป็นประโยชน์กับเขาก็ได้ เขาว่าเป็นประโยชน์กับเขานะ แต่มันเป็นโทษ เป็นโทษเพราะอะไร? เป็นโทษเพราะสิ่งที่มันเป็นกรรม กรรมดี กรรมชั่ว กรรมคือการกระทำ ทำดีก็ได้ ทำชั่วก็ได้ แต่ความดีความชั่วของใครมันอยู่ที่การแบ่งแยกของฐานของจิต
นี่เวลาเขาทำการเกษตรกันนะ พันธุ์พืชสำคัญมากนะ ถ้าดินน้ำทุกอย่างพร้อม แต่พันธุ์มันไม่ดีนะ ลงทุนลงแรงขนาดไหนมันให้ผลผลิตแค่นั้นแหละ แต่ถ้าพันธุ์มันดีนะเขาต้องคัดสายพันธุ์กัน การคัดสายพันธุ์ก็คือจิตที่มันสร้างบุญกุศลมา มันได้ปรับตัวของมันเอง มันคิดของมันเอง มันคิดแต่สิ่งที่ดีๆ นะ มันคิดแต่สิ่งที่ดีๆ สิ่งที่เขาคิดกันสิ่งที่ไม่ดีมันคิดไม่ได้ เห็นไหม นี่สายพันธุ์
การเกิดเป็นมนุษย์มันมีโอกาส เราได้ประพฤติปฏิบัติ โอกาสประพฤติปฏิบัติมันต้องมีมุมมองที่ดี แต่ถ้าทางโลกเขามองแต่วัตถุของเขา มันปัจจัยเครื่องอาศัยนะ เวลาเราออกประพฤติปฏิบัติกัน ออกบวชนี่เขาเรียกสัปปายะ ๔ ครูบาอาจารย์อันดับหนึ่งนะ ครูบาอาจารย์เป็นสัปปายะ ถ้าครูบาอาจารย์เป็นสัปปายะ หัวหน้าเป็นสัปปายะ จะคอนโทรลสิ่งที่ในการประพฤติปฏิบัติเราให้เป็นสัปปายะ ถ้าครูบาอาจารย์ไม่เป็นสัปปายะ มันคลุกคลี มันทำออกแต่เรื่องของโลกๆ
ดูสิทางโลกเขานี่ เห็นไหม ถ้าสิ่งปลูกสร้างเราสร้างขึ้นมาให้คนได้อาศัย เช่น ศาลา แหล่งน้ำต่างๆ เขาได้อาศัยเพราะนี่คนนี้ทำคุณประโยชน์มาก คุณประโยชน์อย่างนี้มันอาศัยในโลกนี้ไง ถ้ามันมองลึกเข้าไป คุณประโยชน์ที่อาศัยในโลกนี้เรายังสร้างไม่ได้เลย เราจะไปสร้างสิ่งใด?
คุณประโยชน์ในโลกนี้มันสร้างกันง่ายๆ เห็นไหม ถ้าครูบาอาจารย์เป็นสัปปายะมันจะมีความสงบสงัด มันจะเริ่มเข้าไปหาข้างใน หมู่คณะเป็นสัปปายะ ถ้าหมู่คณะเป็นสัปปายะนี่บุญกุศลมาก เพราะมันไม่กระทบกระเทือนกัน มันเปิดโอกาสให้ได้ทำในสิ่งที่ละเอียดเข้าไป สิ่งที่ละเอียดมันต้องใช้ความสงบสงัด ถ้าความสงบสงัด จิตมันสงบเข้ามานี่มันวิเวกจากภายนอก แต่ใจไม่วิเวก วิเวกจากข้างนอกก่อน แต่ถ้าข้างนอกไม่วิเวกนะ ข้างนอกมันกล่นเกลื่อนด้วยมนุษย์ กล่นเกลื่อนไปด้วยการคึกคะนอง เราไปอยู่ในสภาวะแบบนั้นน่ะ
นี่หมู่คณะเป็นสัปปายะ อาหารเป็นสัปปายะ ที่ประพฤติปฏิบัติเป็นสัปปายะ เป็นสัปปายะนี่มันอยู่ที่การเกิดและการตาย การเกิดนี้เป็นบุญกุศลนะ กุศลที่เราเกิดมาพบสัปปายะนี้ แล้วโอกาสอย่างนี้ไม่มีตลอดไปหรอก นี่มันหมุนเวียนไป ดูสิดูสภาพป่า เห็นไหม เขาจะรุกป่ากันตลอดเวลา นี่ป่าจะเสื่อมโทรมไปตลอดเวลา แม้แต่ป่านะเป็นธรรมชาติที่ให้คุณประโยชน์กับโลก ยังมีคนที่เขาโลภมาก มีคนที่เขาต้องการการยึดครองของเขา เขาทำของเขา
นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่เป็นสังคม เห็นไหม เรื่องของโลกๆ เป็นเรื่องของสังคมนะ แต่สังคมถ้ามันให้ผลกับเรามันเป็นสิ่งที่ดี นี่สังคมสงบร่มเย็นนะ สมณะ ชี พราหมณ์ จะอยู่ร่มเย็นเป็นสุข ถ้าสมณะ ชี พราหมณ์ อยู่ร่มเย็นเป็นสุข ฝนฟ้าก็ตกต้องตามฤดูกาล ฝนฟ้าตกตามฤดูกาล พืชการเกษตรธัญญาหารมันก็อุดมสมบูรณ์ ความเป็นอยู่มันก็วนกลับมาสังคมนี่แหละ แต่ถ้าสมณะ ชี พราหมณ์ อยู่ด้วยความไม่ร่มเย็นเป็นสุข สังคมมันก็ปั่นป่วนไปเรื่อยๆ เห็นไหม
อันนี้เป็นสังคมจากภายนอก แต่ในการประพฤติปฏิบัติมันอยู่ที่เรา มันต้องย้อนกลับมาในสังคมจากภายในของเรา เวลาคิดดีคิดชั่วในหัวใจของเรา ถ้าเรามีจุดยืนของเรา หัวใจมันจะคิดแต่สิ่งที่ดีๆ สิ่งที่ดีๆ เห็นไหม ความสุขที่โลกเขาหากันมันต้องกล่นเกลื่อนไปด้วยการแสวงหา มันถึงจะเป็นความสุขของเขา อันนี้เป็นตัณหาความทะยานอยาก แต่ความอยากในความสงบเพราะอะไร? เพราะเรามีครูบาอาจารย์ เราเชื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในเรื่องของธรรม ธรรมคือความสงบ
สุขอื่นใดเท่ากับความสงบของใจไม่มี
ความสงบของจิตที่เป็นสมาธิ จิตที่มันมีหลักฐานตั้งมั่นของมันก็เป็นความสงบอันหนึ่ง ความสงบอย่างนี้เป็นความสงบแบบหินทับหญ้าไว้ คือความสงบอย่างนี้มันรอวันแปรปรวน เห็นไหม ดูสิเวลาเขาไปทำการประมงกันทะเลเรียบมาก ทะเลเรียบเหมือนแผ่นกระจกเลย เรียบราบมาก แต่เดี๋ยวถ้าพายุฝนมันมานะ นี่ทะเลมันจะปั่นป่วน ทะเลปั่นป่วนมันกวาดทุกอย่างจมไปในทะเลนะ
นี่จิตของเราที่มันสงบมีความสุข มันสงบ มันมีความสุขของมันนะ นี่มันเป็นหินทับหญ้าไว้ ถ้าเดี๋ยวมันปั่นป่วนขึ้นมานะมันจะทำให้เราทุกข์ร้อนไป เห็นไหม สิ่งที่ความสงบเป็นสมาธิมันหินทับหญ้าไว้ แต่ถ้ามันมีปัญญาของมันนะ ปัญญาที่เราจะย้อนกลับเข้ามา ย้อนกลับเข้ามา ถ้าไม่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปัญญาจะเกิดได้อย่างไร? แม้แต่ทำความสงบของจิตมันก็ทำแสนยากแล้ว แล้วจิตสงบมันมีความสุขของมัน แต่เป็นความสุขชั่วคราว มันเป็นอนิจจัง มันแปรปรวนไง มันคงที่ไม่ได้ ในเมื่อหินทับหญ้าไว้ ถ้าหินมันขยับ หรือใครมาขยับเขยื้อนมันออกไป หญ้ามันต้องงอกขึ้นมาเป็นธรรมดา
นี่ก็เหมือนกัน จิตที่สงบไว้มันมีสติของมัน มันมีสิ่งการกระทำของมัน จิตมันจะสงบเข้ามาได้ แต่ความสงบอย่างนี้ถ้ามันขยับตัว เดี๋ยวสิ่งที่เป็นเชื้อไขมันจะออกมา สิ่งที่เป็นเชื้อไขคือกิเลส คือตัณหาความทะยานอยาก คือความขัดข้อง ขัดใจ เราทำความสงบขนาดนี้ เราทำคุณงามความดีขนาดนี้ สังคมไม่เห็นความดีของเราเลย เราทำขนาดนี้ นี่ทำดีสังคมต้องให้ความดีกับเรา ทุกคนจะบอกว่าทำดีขนาดนี้ทำไมมันไม่ได้ดี ดีขนาดนี้นะ ความดี เห็นไหม มันการยอมรับนะ
กลิ่นของศีลมันหอมทวนลม
กลิ่นดอกไม้ กลิ่นของความหอมธรรมชาติมันหอมไปตามลม ลมพัดมันไปนะ กลิ่นของศีลมันหอมทวนลม คุณงามความดีมันเข้าไปในหัวใจของมนุษย์ เข้าไปในใจของครูบาอาจารย์นะ มองก็รู้คนมีคุณงามความดี เราอยู่ด้วยกัน เห็นไหม ศีลจะรู้ด้วยการอยู่ด้วยกันนานๆ จะเห็นหมดเลย ใครจะปิดกั้นไม่ได้ ธรรมจะรู้ได้ต่อเมื่อเราปรึกษา ปรึกษาทางวิชาการ ปรึกษาสิ่งใด เขาแสดงออกมานี่คือปัญญาของเขา
ธรรมคือการแสดงออกมาจากใจ มันออกมาจากใจนะ ถ้ามีคุณธรรม สิ่งที่พูดออกมา สิ่งที่ทำออกมามันเป็นธรรมไปหมดนะ แต่ถ้ามันเป็นกิเลสนะ จะปกปิดไว้ขนาดไหนมันก็มีผลประโยชน์ของเขา เห็นไหม ศีลจะรู้ได้ต่อเมื่ออยู่ด้วยกัน ธรรมจะรู้ได้เมื่อปรึกษา เมื่อแสดงธรรมออกมา ศีลธรรมมันอยู่ในหัวใจ ถ้ามันย้อนกลับเข้ามาที่นี่ ความสุขแท้ๆ มันอยู่ที่นี่นะ
ข้าวของเงินทอง สิ่งที่พึ่งอาศัยเราต้องมี เราต้องมีปัจจัยเครื่องอาศัย ได้เสพแล้วมันเป็นอามิสมันถึงจะพอใจ แต่ถ้าจิตมันสงบของมันเอง นี่ข้างนอกมันจะขาดแคลนบ้าง มันจะสมบูรณ์บ้าง มันเรื่องของปัจจัยเครื่องอาศัย มันเรื่องอำนาจวาสนาบารมีของเรา ดูเราเกิดมาแต่ละคน เห็นไหม นี่รูปร่างหน้าตาเราไม่เหมือนกัน มันเพราะอะไรล่ะ? มันเพราะบุญกุศล คนอายุยืน อายุสั้นต่างๆ กันไป คนมีโรคภัยไข้เจ็บ คนร่างกายเข้มแข็ง มันเป็นสิ่งที่ทำมา
ถ้าสิ่งที่ทำมา เวลาเกิดอุบัติเหตุเขาว่านี่เป็นกรรมอุบัติเหตุ มันเป็นกรรมด้วย มันเป็นอุบัติเหตุด้วย เพราะมีกรรมมันถึงเกิดอุบัติเหตุนั้น ถ้าไม่มีกรรมนะ อุบัติเหตุนั้นมันคลาดแคล้วได้ ร่างกายที่มันเจ็บไข้ได้ป่วยก็เหมือนกัน สิ่งที่มันเจ็บไข้ได้ป่วยมันเจ็บไข้ได้ป่วย นี่ถ้าเป็นกรรมพันธุ์นะ พ่อแม่เราเป็นอย่างนี้ส่วนใหญ่ลูกจะเป็น แต่ไม่เป็นก็มีนะ
กรรมที่มันทำให้หลุดพ้นออกไป เห็นไหม อภิชาตบุตร บุตรที่ดีกว่าพ่อกว่าแม่ก็มี บุตรที่เสมอพ่อแม่ก็มี บุตรที่ต่ำกว่าพ่อแม่ก็มี นี่กรรมพันธุ์มันก็เป็นสภาวะแบบนั้น สิ่งนี้เป็นเรื่องโลก แต่ในเรื่องที่ว่ามันเป็นบุญกุศลนี่มันเป็นสิ่งที่ธรรมชาติควบคุมไม่ได้ นี่เวลาร่างกายเจ็บไข้ได้ป่วยเราก็รักษาของเราไป ความไม่เป็นโรคเป็นลาภอันประเสริฐ แต่ถ้ามันมีขึ้นมานี่มันมีเพราะเวรเพราะกรรม เวรกรรมที่มันสร้างมาสภาวะแบบนั้น มันกรรมเก่า กรรมใหม่
กรรมเก่ามันให้มีสภาวะแบบนี้ กรรมใหม่ก็เกิดขึ้นมาได้ กรรมใหม่ กรรมในปัจจุบันนี้ไง กรรมในปัจจุบัน ถ้าเราสร้างขึ้นมา เราทำคุณงามความดีขึ้นมามันก็เป็นกรรมอนาคต เพราะอะไร? เพราะมันเป็นจุตูปปาตญาณ จุตูปปาตญาณคือสิ่งที่มีเชื้อไขอยู่มันต้องมีสภาวะของมันไป มีเหตุมีปัจจัยแล้วมันต้องต่อเนื่องไป สิ่งที่ทำอยู่นี่มันจะต่อเนื่องไป แต่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันเป็นปัจจุบันธรรม ปัจจุบันธรรมมันชำระในปัจจุบันนี้ มันชำระในเรื่องของกรรม เรื่องของภวาสวะ เรื่องของภพ เรื่องของเจ้าหนี้ไง
เจ้าหนี้กับลูกหนี้ มันมีเจ้าหนี้กับลูกหนี้ มันต้องเป็นหนี้กันไปตลอดเวลา เห็นไหม แต่ถ้ามันไม่มีลูกหนี้ คือไม่มีฐานที่ตั้ง ไม่มีฐานะของความผูกพัน ฐานะของความผูกพันคือความรู้สึก จิตความรู้สึกเฉยๆ ไม่ใช่ความคิดนะ ความคิดนี่มันเป็นสังขาร แต่จิตเฉยๆ จิตที่มันรู้เฉยๆ เวลาจิตเป็นสมาธิเข้าไปนี่มันรู้หนึ่งเดียว หนึ่งเดียวนั่นล่ะคือตัวภพ คือตัวสถานะ เป็นตัวที่จะเป็นเจ้าหนี้ก็ได้ ลูกหนี้ก็ได้
เราสร้างกรรมดีไว้มีสิ่งที่เราเป็นเจ้าหนี้ก็ได้ เราสร้างกรรมชั่วไว้มันเป็นลูกหนี้ก็ได้ แล้วมันทำลายตัวภพนี่ ตัวที่ว่ามันนิ่งอยู่ในหัวใจ มันทำสิ่งนี้ออกไปได้หมดในหัวใจ มันจะเป็นเจ้าหนี้-ลูกหนี้กันที่ไหน? ถ้าไม่มีเจ้าหนี้-ลูกหนี้ที่ไหน กรรมมันจะเกิดมาได้อย่างไร? กรรมมันเกิดมาจากที่นี่ไม่ได้ ไม่มีผู้รับสภาพ ถ้าจิตไม่มีผู้รับสภาพ นี่ธรรมที่ละเอียดมันละเอียดอย่างนี้ไง
ถ้าจิตเป็นผู้ที่ไม่มีรับสภาพ ความสุข เห็นไหม สุขจากที่ไม่มีลูกหนี้และไม่มีเจ้าหนี้ สิ่งที่มันสงบจริงๆ สงบแบบเคลื่อนไหว สงบแบบสมาธิมันต้องนิ่งอยู่นะ ถ้ามันขยับเคลื่อนไหว มันเกิดการกระทำขึ้นมา มันมีความคิดออกมา มันแผ่ซ่านออกมาเป็นความรู้สึกธรรมดา เป็นความรู้สึกของมนุษย์ เป็นความรู้สึกของสถานะที่มันเป็นความคิด แต่ถ้าจิตสงบของมัน จิตที่มันไม่มีภาวะ ไม่มีสถานะมันเคลื่อนไหวนะ จิตเคลื่อนไหวที่ไม่มีการแสดงออก จิตเคลื่อนไหวที่ไม่แสดงออก แล้วมันเคลื่อนไหวของมันไป เห็นไหม ไม่มีสภาวะแต่มันเคลื่อนไหวได้อย่างไร?
สิ่งที่เคลื่อนไหว เห็นไหม นี่ธรรมแท้ๆ มันเป็นสภาวะแบบนี้ ความสงบที่มันเคลื่อนไหวยิ่งไม่มีการฟุ้งซ่าน ไม่มีการกระทำ แต่มันเป็นสถานะของโลก โลก เห็นไหม สอุปาทิเสสนิพพาน พระอรหันต์ที่มีชีวิตอยู่ มันไม่มีสภาวะลูกหนี้และเจ้าหนี้ แต่มันเป็นประโยชน์กับโลกไง เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพานนะ พระอานนท์ร้องไห้มาก
ดวงตาของโลกดับแล้ว
ดับแล้วเพราะอะไร? เพราะสภาวะ ถ้ามีเจ้าหนี้ ลูกหนี้ มีสภาวะอย่างนี้ในหัวใจเรา การคิด การกระทำต่างๆ มันมีผลประโยชน์ มันมีตัวตน มันมีเรา มันหวังของเราตลอดเวลา เพราะมันมีอวิชชา มันไม่รู้จักตัวมันเอง เห็นไหม แต่ถ้าขณะที่มันไม่มีตัวตน ไม่มีสิ่งต่างๆ เลย แต่การเคลื่อนไหวอยู่ สอุปาทิเสสนิพพาน มันเข้าใจสภาวะทั้งหมดไง
สภาวะจริงๆ ที่เกิดขึ้นมันเกิดขึ้นเพราะเหตุใด? เหตุที่เกิดเกิดเพราะเหตุใด? มันต้องมีเหตุ มีปัจจัยมา แล้วสิ่งที่กระทำนี่อนาคตมันจะต่อไปอย่างไร? สิ่งนี้มันเป็นไปเรื่องของโลกไง เพราะเหมือนผู้พิพากษา ผู้พิพากษามันมีโจทย์และจำเลยใช่ไหม? เขามีโจทย์และจำเลยนี่ใครผิดใครถูกว่ากันไปตามข้อเท็จจริง
นี่ก็เหมือนกัน ในเมื่อตามสภาวะเท็จจริง เห็นไหม ดวงตาของโลกมันเข้าใจอย่างนี้ไง เข้าใจของโลก เข้าใจของจิตที่มันมีเวรมีกรรมต่อกัน มันมีเวรมีกรรมต่อไป ต่อเมื่อใดเห็นไหม ถ้าเวรระงับด้วยการไม่จองเวร เราให้อภัยต่อกัน เขาจะรับรู้ ให้อภัย เขาจะยอมระงับหรือไม่ระงับมันเรื่องของเขา แต่เราระงับที่ใจของเราก่อน ถ้าเราระงับที่ใจของเรา มันเป็นงานของเราใช่ไหม? ถ้างานของเรา สังคมคือสังคม ความเป็นไปของสังคม เราอยู่ในสังคมนั้น ถ้าสังคมเดือดร้อน เราก็เดือดร้อนด้วย สังคมสงบสุข เราก็สงบสุขด้วย แต่สังคมนี่เราควบคุมไม่ได้ มันเป็นสภาคกรรม
กรรมของสังคม กรรมของจิตแต่ละดวง เห็นไหม ในครอบครัวหนึ่ง ในบ้านเรือนหนึ่ง จิตแต่ละดวง ความรู้สึก ความนึกคิด จริตนิสัยก็ต่างๆ กันไป แล้วสังคมมันหลายหลากกว่านั้นอีก เราจะไปแบกรับสังคมอย่างนั้นไม่ได้ เราต้องแก้ไขเราก่อน แก้ไขเราหน่วยหนึ่งของสังคม ถ้าทุกคนไปแก้ที่หน่วยสังคม คนทุกคนเป็นคนดีสังคมจะดีไปเอง แต่ถ้าเราจะไปแก้ที่สังคมก่อนมันเป็นปลายเหตุ
ต้นเหตุและปลายเหตุ ต้นน้ำและปลายน้ำ เราต้องแก้ต้นน้ำก่อน เพราะต้นน้ำของเรานะเราแก้ของเราได้ ถ้าแก้ของเราได้ เราเข้าใจสังคมหนึ่ง เราอยู่กับโลกโดยไม่ติดโลก เราจะไม่เดือดร้อนกับโลกนะ สังคมเป็นอย่างนี้ ที่มันมีความกระเทือนกัน มีความกระทบกระเทือนกัน ถ้าจิตเราเป็นธรรม มันเห็นแล้วมันปลงธรรมสังเวช มันสลดไง
เหมือนกับดูหนังดูละครเลย เราเห็นสภาวะที่มันเดือดร้อนกัน สภาวะที่เขาทำเป็นความทุกข์ต่อกัน เราสลดสังเวช นี่กรรมเป็นอย่างนี้ แล้วเราจะมาเป็นอย่างนี้อีกไหม? เราจะต้องแบกรับภาระอย่างนี้อีกไหม? แล้วเราก็เป็นหน่วยในสังคมนั้น เราก็ต้องมีสภาวะอย่างนี้เหมือนกัน เห็นไหม ถ้าเราจะแก้เราต้องแก้ที่เราก่อน ย้อนกลับมาที่นี่
นี่สัปปายะ ๔ มันเป็นบุญกุศลนะ ถ้าเราเกิดสิ่งที่เป็นสัปปายะ ๔ มันเป็นสภาวะแวดล้อม เป็นสิ่งที่จะให้เราได้มีโอกาสประพฤติปฏิบัติ แล้วก็สภาวะแวดล้อมจากภายในคือความคิดของเราเอง ความคิด ความปรุง ความแต่ง ในใจของเราเอง แล้วถ้าเราแก้ไขที่นี่ได้ เห็นไหม เรื่องของเรา นี่เป็นสันทิฏฐิโก เป็นปัจจัตตัง รู้จำเพาะตน ถ้าตนเป็นสิ่งที่ดี สังคมมันจะดีไปกับเรา ถ้าสังคมมันไม่ดี สังคมเป็นสภาวะแบบนั้น เราอยู่กับเขาเราก็ไม่ติดในสังคม
น้ำบนใบบัว มันอยู่กับบัวแต่มันไม่ติดบัว ถ้าติดมันเป็นอย่างนั้น เพราะเราไม่สามารถแบกรับไว้ทั้งหมด องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนามารื้อสัตว์ขนสัตว์ เห็นไหม ยังเอาไม่ได้เลย เอาไปหมดไม่ได้ แต่ แต่สิ่งที่เอาไปได้คือสหชาติที่สร้างมาด้วยคุณงามความดี องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพยายามรื้อสัตว์ขนสัตว์ ค้นคว้าแบกรับไป นี่มันเป็นสิ่งที่เป็นจิตใจสาธารณะ จิตใจของเราเป็นสภาวะแบบนี้เราต้องแก้ไขเรา
เราเกิดมาพบพุทธศาสนาเป็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ ถ้าไม่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พวกเราจะไปไม่รอดหรอก ไปไม่รอดเพราะอะไร? เพราะสาวก สาวกะ สภาวะไง ดูความคิด ดูโลกสิ คนที่เวลาเขาเอารัดเอาเปรียบกัน เขาคิดซับซ้อนจนเราคิดไม่ทันเขานะ แล้วเขาไม่เชื่อเราหรอก เขาไม่เชื่อเรา ความคิดลึกลับอย่างนั้นเขาไม่เชื่อเรา แล้วเขาจะเห็นว่าเป็นผลประโยชน์ของเขา เห็นไหม แล้วถ้าความคิดของเราไม่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่ความคิดที่ลึกลับซับซ้อนอย่างนี้เราเอาชนะมันไม่ได้หรอก แต่เพราะมีธรรม เพราะเราเชื่อ เรามีศรัทธา เราค้นคว้า มันมีกระบวนการของมันนะ กระบวนการของการทำจิตให้สงบเข้ามา กระบวนการของการเกิดภาวนามยปัญญา มันมีกระบวนการของมัน
แต่ทางโลกในปัจจุบันเขาไม่เข้าใจกระบวนการอย่างนี้ เขาไม่เชื่อเรา เขาไม่เชื่อตัวตนของเรา เขาไม่เชื่อวุฒิภาวะ เขาไม่เชื่อความสามารถของตัวเอง เขาไม่เชื่อตัวเองเขาถึงมาศึกษาธรรมในพระไตรปิฎก แล้วคิดว่าธรรมมันเป็นสำเร็จรูปมาอย่างนั้น แล้วเราคิดต่างไม่ได้ พอเราคิดต่างไม่ได้ มันไม่มีกระบวนการการแก้ไขในหัวใจ ถ้าไม่มีกระบวนการการแก้ไขในหัวใจ เห็นไหม นี่ธรรมมันไม่เกิดอย่างนี้ไง
เขาทำเป็นธรรมะสำเร็จรูป เป็นปริยัติ เป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นปรมัตถธรรม มันเป็นสำเร็จรูปมา มันสวมมาในใจเราไม่ได้หรอก แต่ถ้ามันเป็นธรรมของเราเองนะ มันมีกระบวนการตั้งแต่มีสติ กระบวนการของการทำความสงบของใจขึ้นมา แล้วกระบวนการของปัญญาที่มันแก้ไขขึ้นไป แล้วมันไปทำลายภาวะของลูกหนี้และเจ้าหนี้ในหัวใจจนหมดสิ้น นี่เป็นธรรมของเรา เห็นไหม นี่ฝนตกแดดออกเป็นฤดูกาล ฤดูกาลหน้าร้อน ฤดูกาลร้อน ฤดูฝน ฤดูทำพืชการเกษตร ฤดูหนาว ฤดูที่ผลเก็บเกี่ยว ผลของการกสิกรรม
นี่ก็เหมือนกัน ในชีวิตเรา เห็นไหม ฤดูกาลหนึ่ง ฝนหนึ่งก็ชีวิตปีหนึ่ง ฝนหนึ่งก็อายุหนึ่งรอบไปๆ กี่ฤดูกาล แล้วชีวิตเราจะต้องใช้ชีวิตไปอย่างนี้อีกไหม? ชีวิตอย่างนี้ เหมือนกับชีวิตเราเหมือนพืชพันธุ์การเกษตร ปีหนึ่งเขาทำการเกษตรหนหนึ่ง นี้ปีหนึ่งก็เวียนไปหนหนึ่งๆ ถ้ามีอันนี้มาเป็นคติเตือนใจนะ แล้วดูชีวิตเรามันตายเกิดๆ อย่างไร? แล้วมันเป็นสภาวะอย่างไร? แล้วหาความจริงขึ้นมา มันจะเป็นความสุขของเรา มันจะเป็นความจริงของเรา เอวัง